ทำยังไงดีกับลูกขี้วีน

ไม่ใช่ว่าจะสามารถปรามพยศ หรือกำจัดนิสัยชอบเหวี่ยง หรือขี้วีนของลูกได้แล้วหรอกนะ แต่อยากจะมาแชร์ความรู้สึกและวิธีรับมือว่า น่าจะประมาณนี้แหละ เพราะนี้ก็ได้ดูข้อมูลมาจากคุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านแล้ว กับ วิธีการรับมือเมื่อลูกวีน จากประสบการณ์โดยตรงของพ่อแม่มีลูกที่เป็นเด็กเจ้าอารมณ์ ภาพต่างๆ ที่ลูกแสดงออกทางสีหน้า การกระทำ น้ำเสียง ตะโกน ร้องว๊ากเมื่อไม่พอใจ ด่าทอ หรืออื่นๆ สารพัด เหล่านั้นเราเรียกอาการเหล่านี้ว่า ขี้วีน เพราะเด็กเล็กในช่วงวัย 2-4 ขวบ มักจะพบอาการเหล่านี้ได้บ่อย หากพ่อแม่ไม่หาวิธีจัดการให้ดีแล้วล่ะก็ เด็กอาจจะกลายเป็นคนขี้โมโห โกรธง่าย อาละวาด และเอาแต่ใจตัวเองได้ในอนาคต หรือไม่อย่างนั้นพ่อกับแม่ก็อาจจะกลายเป็นโรคประสาทไปก่อนก็ได้

อย่างไรก็ตาม การจัดการกับเด็กขี้วีนเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำกันได้ง่ายหรือจัดการเพียงครั้งเดียวแล้วจะสำเร็จไปตลอดชีวิต การแก้ปัญหาจะต้องถูกทำควบคู่ไปกับการสอนสั่ง และทุกอย่างต้องดำเนินไปภายใต้สถานการณ์ที่เป็นมิตร ปราศจากอารมณ์โกรธ มีพี่ที่ pantip บอกว่าเด็กอายุ 3 ขวบชอบเรียกร้องความสนใจ สามารถเเก้ปัญหาได้ ด้วยการจัดการที่ดี นั่นคือ เด็กในวัยนี้เค้าเรียกร้องความสนใจ เพราะเราสนใจเค้าไม่มากพอไง เด็กวัยนี้ยังต้องการใช้เวลากับผู้ใหญ่เป็นอย่างมาก ต้องการการสัมผัสจากพ่อเเม่ โดยให้สังเกตจากตัวลูกเองว่าถ้าช่วงไหนเรามีกิจธุระเยอะ งานยุ่ง หรือไม่ได้ดูแลเอาใจใส่เค้ามากกว่าแต่ก่อน เค้าจะเกิดอาการที่เรียกว่า เรียกร้องความสนใจ ด้วยการเเสดงอารมณ์หงุดหงิด หรืองอเเง เเต่ถ้าเข้าไปจับเค้านั่งตัก ยิ้มให้เค้า หอมหนึ่งที ถามว่าหิวหรือเปล่า พรุ่งนี้อยากทำอะไร เเล้วอธิบายว่าเเม่ต้องทำอะไรบ้าง ถ้าทำเสร็จจะเล่นกับเค้า ก็จะอารมณ์ดีทันทีภายใน 3 นาที

เเต่ช่วงไหนที่พ่อแม่ให้เวลาเค้าเต็มที่ ก็จะไม่มีงอเเงเลย แล้วก็อารมณ์ดีตลอดทั้งวัน จะมีบ้างที่เอาแต่ใจในบางครั้ง เวลาอยากได้โน่นนี่นั่น พ่อแม่ต้องไม่ตามใจมาก เรียกร้องความสนใจกับเอาเเต่ใจไม่เหมือนกันด้วย ต้องเเยกให้ออก ส่วนตอนเอาเเต่ใจ ต้องไม่สนใจ เลี้ยงเด็กวัยนี้ต้องดึงบ้าง หย่อนบ้าง เพราะเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองแล้วแต่บางอย่างพ่อแม่ต้องชี้นำอยู่ การเสนอทางเลือกให้เขาได้มีโอกาสเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะเป็นการลดอารมณ์เหวี่ยงของเด็กได้อย่างมาก

เวลาลูกมีอารมณ์ขี้วีน เวลาเหวี่ยงนี่ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงควรจะหยุดทุกอย่างเลย แล้วบอกเขาว่าอยากร้องใช่ไหมลูก ร้องเลยค่ะ ถ้าร้องเสร็จแล้วแม่จะมาหานะ ถ้ายังร้องกรี๊ดอยู่แม่ไม่คุยด้วย เพราะคุยไม่รู้เรื่อง ลูกพูดได้แล้ว บอกความต้องการได้แล้ว ถ้าไม่พูดดีๆ แม่ก็จะไม่พูดด้วย เขาอาจจะสะอึกสะอื้นหรือกรีดร้องต่อสักพัก แต่เมื่อเห็นเราไม่เอาเขาแน่แล้วเขาจะหยุดค่ะ จากนั้นค่อยเข้าหาแล้วสอนเขาอย่างนุ่มนวลว่าอย่างไหนเหมาะที่จะทำ อย่างไหนไม่เหมาะที่จะทำ เค้าจะจำแต่อาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อยสำหรับที่เค้าจะนำไปใช้

แรกๆ ที่ทำวิธีนี้แม่ต้องใจเย็นมากๆ ถึงมากที่สุด ใครในบ้านที่ทนเสียงเด็กร้องไม่ไหวให้เชิญคนๆ นั้นออกไปเลยค่ะ ไม่อย่างนั้นคุณจะทำวิธีนี้ไม่สำเร็จแน่นอน แล้วพาลจะทะเลาะกับคนในบ้านอีกด้วย เพราะคนที่มาเห็นลูกหรือหลานคนโปรดของเขาร้องไห้คร่ำครวญ ก็จะมีคนอยากมาโอ๋ เด็กก็จะไม่เรียนรู้ที่จะระงับอารมณ์โกรธของตัวเองเลย เด็กจะรับรู้ว่า “อ๋อ…กรี๊ดอย่างนี้แล้วมีคนมาโอ๋เราด้วย คราวต่อไปเราจะกรี๊ดให้ดังกว่านี้อีก” (แม่น้องเปรมเคยโดนคุณตาดุมาแล้วโทษฐานที่ปล่อยให้น้องเปรมร้องอยู่คนเดียว เพราะคุณตาชอบโอ๋หลานมาก ทุกวันนี้ก็ยังคงลำบากในการดูแลเรื่องนี้)

สิ่งที่เราจะอนุญาตให้เด็กสามารถเลือกเองได้ก็เช่นกัน ยกตัวอย่างว่าให้เลือกเสื้อผ้าใส่เอง เลือกอาหารทานเอง (มีให้เลือกอย่างจำกัดหน่อย เพราะหากมีตัวเลือกมากเค้าจะมีข้อต่อรองเยอะ แล้วอย่าเอาอาหารกับขนมให้เลือกด้วยกันเพราะเด็กจะเลือกทานแต่ขนมมากกว่าอาหาร) ให้เลือกกิจกรรมที่จะเล่นเอง เช่น ตอนนี้อยากเล่นอะไร ระบายสี หรือปั้นดินน้ำมัน เด็กจะได้ฝึกสมองในการวางแผนต่างๆ ด้วย

กว่าที่เด็กจะเติบโตขึ้นมาในวัยนี้ พ่อแม่ก็คงจะรู้นิสัยของลูกตัวเองบ้างแล้วว่าเป็นอย่างไร เช่น เป็นเด็กที่มีพื้นอารมณ์เย็นหรือร้อน ชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร ไว้วางใจใครในบ้านบ้าง เพราะคนที่จะรับมือกับเด็กขี้วีนได้นั้น ควรเป็นคนที่เขาไว้ใจ และใจเย็นมากที่สุด

ลูกขี้วีน ทำยังไงดี กับอารมณ์เหวี่ยงแบบนี้

พ่อแม่ไม่ควรเลือกวิธีการทำร้ายร่างกายลูกมาใช้ในกรณีแบบนี้เด็ดขาด เพราะการตีไม่ได้ช่วยอะไรเลย (มีบางครั้งคุณพ่อก็เผลอเหมือนกัน เพราะโมโหลูก อันนี้ยอมรับผิด) นอกจากจะทำให้ทั้งลูกและพ่อเจ็บแล้ว ผู้ใหญ่ที่ตีเด็กเอง สาเหตุใหญ่ก็มาจากการที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ และมักอ้างว่าตีเพื่อให้เด็กหลาบจำ ซึ่งการอ้างเช่นนั้นเป็นการแก้ตัวเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นเท่านั้น เพราะการตีเป็นเพียงเครื่องมือที่ผู้ใหญ่มักใช้เพื่อแสดงอำนาจให้เด็กรู้สึกว่าตนด้อยกว่าผู้ใหญ่ในทุกด้าน เขาสมควรกลัวและหยุดการกระทำที่ผู้ใหญ่ไม่ชอบซะ ซึ่งความคิดเช่นนี้ “ผิด” และนอกจากนั้นการตียังเป็นเสมือนการอนุญาตให้เด็กใช้วิธีรุนแรงได้เมื่อตัวเองรู้สึกโกรธ ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นก็มักจะมีพฤติกรรมการแสดงออกที่รุนแรงตามไปด้วย เช่น ชอบรังแกเพื่อน แก้ปัญหาโดยการใช้กำลัง ฯลฯ

เมื่อลูกวีน สิ่งที่ควรทำ คือ

  1. หาสาเหตุที่ทำให้เขาไม่พอใจ โดยการสังเกตหรือถามเขาตรงๆ
  2. แก้ไขสถานการณ์ที่ทำให้เขาไม่พอใจนั้นด้วยเหตุผล หากเป็นเรื่องที่อันตรายต่อร่างกาย ชีวิต หรือทรัพย์สิน ให้กันตัวเด็กออกไปยังที่ปลอดภัยก่อน
  3. เมื่อแยกคนออกจากสถานการณ์แล้ว ให้ประกบตัวลูกไว้ทันที สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือ การกอด หากเป็นเด็กเล็กให้อุ้มขึ้นมากอดไว้ในอก ถ้าโตจนอุ้มไม่ไหวให้เขานั่งลงอ้อมกอด หรือคุณคุกเข่าแล้วกอดเขาไว้
  4. ใช้คำพูดและน้ำเสียงที่นุ่มนวล พยายามอธิบายด้วยคำพูดที่เข้าใจง่าย สั้น กระชับ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาควรทำและสิ่งที่เขาไม่ควรทำ หรืออธิบายความรู้สึกของคุณให้เขารู้ว่า ทำไมคุณจึงต้องจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างที่ได้ทำลงไปแล้ว
  5. ส่วนใหญ่เมื่อเด็กวีนมักจะมีน้ำตาหรือเสียงร้องตามมาด้วย หากเป็นเช่นนั้นให้กอดไว้จนหยุดร้องหรือเงียบเสียงลงก่อนจึงค่อยอธิบาย แต่ถ้าถึงขั้นทุบตีบุพการี ร้องดิ้นลงนอนบนพื้น หรือตีอกชกตัว การกอดก็ยังช่วยได้ โดยการรวบมือของเขาไว้แล้วกอดเข้าไว้ในอก หากสู้แรงไม่ไหวให้เขาใช้กำลังอย่างเต็มที่ แล้วปล่อยให้ดิ้นจนอ่อนแรงแล้วกลับไปทำตามข้อ 3 อีกครั้ง
  6. หากคุณรู้สึกว่าลูกร้องคร่ำครวญนานเกินไปจนสติสตังของคุณใกล้ระเบิด ให้ปลีกตัวคุณเองออกจากสถานการณ์ โดยการฝากลูกไว้ให้อยู่ในความดูแลของคนที่ไว้ใจได้ เพื่อคุณจะได้ไประงับสติอารมณ์ในห้องน้ำตามลำพังสักพัก
  7. หลังจากใจเย็นลงแล้วให้กลับมาหาลูกอีกครั้ง ถ้าเขาหยุดวีนให้ทำตามข้อ 4 ใหม่ หากยังไม่หยุดให้ทำตามข้อ 5 และถ้ายังไม่มีอะไรดีขึ้นกลับไปทำข้อ 6 อีกครั้ง
  8. เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ เด็กมีสติพร้อมรับฟังและคุณมีอารมณ์อันสงบเยือกเย็นแล้ว ให้เริ่มการสอน พูดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป บอกเขาว่าสิ่งที่เขาทำถูกหรือผิดอย่างไร สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ รวมถึงความรู้สึกของคุณว่าคุณชอบหรือไม่ที่เขาทำอย่างนั้น อาจจะมีชมเชยในกรณีที่เขาสามารถสงบสติอารมณ์ได้เร็วขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ

ลูกขี้วีน ทำยังไงดี กับอารมณ์เหวี่ยงแบบนี้

จากนั้นก็ให้ถามความรู้สึกของเขาบ้างว่าเป็นอย่างไร เหนื่อยไหมที่วีน หากเหนื่อยทีหลังก็อย่าทำอีก มีปัญหาอะไรให้พูดจากันดีๆ พ่อแม่ยินดีรับฟังลูกเสมอ เราจะไม่ทำร้ายกัน พ่อแม่ไม่ตีลูก ลูกก็ไม่ควรทุบตีพ่อแม่เช่นกัน การใช้เสียงเพื่อเอาชนะหรือเรียกร้องความสนใจ มันไม่มีประโยชน์ เพราะพ่อกับแม่ฟังหนูไม่รู้เรื่อง

ลำดับสุดท้าย ให้สอนเขาพูดขอโทษ ที่แสดงอารมณ์รุนแรงและพฤติกรรมวีนออกมา หลังจากวีนเสร็จหากเด็กขอโทษได้และสำนึกผิดเค้าจะบอกกับพ่อแม่ว่าเค้าขอโทษ เค้าจะไม่ทำกริยาอาการแบบนั้นอีก หากเด็กพูดหรือแสดงอาการแบบว่าขอโทษแล้ว อย่าเพิ่งสงสาร เพราะพูดงี้ทุกครั้ง แล้วก็ยังวีนครั้งต่อไปอยู่ดี พ่อแม่ต้องเด็ดขาด (น้องเปรมชอบพูดเสมอ แต่ก็วีนทุกครั้งเสมอเหมือนกัน)

วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มจะเรียนรู้เหตุ-ผล หากเราอยากให้ลูกเป็นเด็กดีมีเหตุผล เราก็ต้องสอนเขาด้วยว่าการกระทำอย่างไหนที่จะเป็นผลดี อย่างไหนเป็นผลร้าย จำไว้เสมอว่าการสอนให้ลูกรู้จักหรือเข้าใจในเรื่องใดๆ นั้นไม่ง่าย และไม่สามารถทำให้สัมฤทธิ์ผลได้ในครั้งเดียว ขอให้พ่อแม่ใช้ความอดทน มีเมตตา และทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อช่วยให้ลูกของเราเติบโตขึ้นเป็นคนดีต่อไป

ให้กำลังใจพ่อแม่ทุกคน เพราะเรามีลูก ขี้วีน มีอารมณ์เหวี่ยง เหมือนๆ กัน

ขอบคุณ pantip / tiara คุณแม่นักเขียน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้องในบล็อกพี่เปรม

โรคในเด็กเล็ก

โรคคาวาซากิ ในเด็กเล็ก

ตัวอย่างเหตุการณ์ เด็กชายบอยอายุ 2 ปี มีไข้สูงมา 5 วัน มีผื่นแดงตามลำตัว ตาแดง มีผื่นแดงตามลำตัว คุณแม่พาไปพบแพทย์ตั้งแต่เป็นไข้วันแรก แพทย์บอกว่าคอแดงเล็กน้อยได้ยาลดไข้และยาแก้อักเสบมากิน ผ่านมา 5 วันลูกยังมีไข้สูง

พัฒนาการเด็ก

เสื้อผ้าเด็กใส่ไปเที่ยว ไปโรงเรียน สวยหล่อน่ารัก

ที่บ้านนี้คุณแม่น้องเปรมไม่ค่อยจะได้ซื้อเสื้อผ้าเด็กมาให้เยอะแยะมากมายเหมือนกับเด็กคนอื่นเลย เพราะตั้งแต่ตอนคลอดใหม่ๆ ญาติๆ เค้าก็สรรหามาให้อยู่ตลอด ก็พวกน้าๆ หลานๆ เค้าก็คลอดตามๆ กันมาหลายคนจนกระทั่งถึงคิวของเจ้าตัวเล็กนี่แหละ เค้าเลยมีผ้าอ้อม

เด็กกับอารมณ์

เมื่อเจ้าตัวน้อย ต้องนั่งรถโรงเรียน

ก็ไม่อยากจะให้ขึ้นรถโรงเรียนมากเท่าไหร่ หากไม่จำเป็นก็คุณพ่อเค้าดันย้ายที่ทำงานมาใกล้บ้าน มันก็ดีอยู่หรอกที่ใกล้บ้าน กว่าเดิม แต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่ที่หากว่าจะไปทำงานสายทุกวันบ่อยๆ จริงๆ เราก็คุยกันบ่อยๆ ว่าจะรับส่งเอง หรือว่าจะใช้บริการรถรับส่งนักเรียนดี พอเอาเข้าจริงๆ คงตัดใจใช้บริการดีกว่า เพราะเหตุผลหลายอย่างเช่น

พัฒนาการเด็ก

เรื่องที่ลูกต้องรู้ก่อนเที่ยวทะเล

จากอากาศที่ร้อนอบอ้าวที่เกิดเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนในปัจจุบันนั้น ทำให้เราทั้งคุณพ่อ คุณแม่ รวมไปถึงเจ้าหนูน้อยอยากที่จะไปผ่อนคลายความร้อนกันที่ทะเล สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต แต่การไปทะเลนั้น ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะไปได้ ต้องมีการเตรียมตัวกันให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์

สถานศึกษา

เกษตรพอเพียงกับทักษะทางความคิดของเด็ก

เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์นั้น การอบรมและเลี้ยงดูและปลูกฝังในเรื่องแนวคิดต่างๆ มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการการเรียนรู้ในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้าน จากบิดา มารดา จากคนรอบข้างและและสิ่งแวดล้อม

พัฒนาการเด็ก

ลูกคิดเป็น เล่นอย่างไร

คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ก็คงจะพอรู้มาบ้างแล้วใช่ไหมคะว่า การละเล่น ช่วยเสริมพัฒนาการด้านต่างๆโดยเฉพาะเรื่องของ "สมอง" ให้กับลูกของเรา แต่ก็ยังเกิด คำถามตามมาอีกว่า แล้วเราควร ให้ลูกเล่นอย่างไรดี