สอนลูกไม่ให้เป็น เด็กจอมโกหก

มักจะเป็นปัญหาที่สำคัญยิ่ง และเป็นสิ่งที่ต้องเจอกันมากขึ้นเรื่อยๆ กับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน นั่นคือการเจอเรื่องโกหกอยู่บ่อยครั้งจากคนรอบตัว ทั้งรู้จักกันดีและแปลกหน้า คงจะดีไม่น้อยถ้าในโลกนี้ไม่มีคนโกหก และจะดียิ่งขึ้น หากเด็กไทยยุคใหม่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ รักษาสัจจะ ไม่โกหกเป็นไฟเหมือนผู้ใหญ่บางคนที่มีตำแหน่งการงานดี แต่ปากอย่างใจอย่าง และเพื่อให้ได้มาซึ่งเด็กไทยที่พร้อมด้วยคุณสมบัติดังกล่าว วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ มาฝากคุณพ่อคุณแม่สำหรับช่วยรักษาอาการโกหกของเด็กกัน

การหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะเปิดโอกาสให้ลูกได้โกหก เช่น เมื่อเด็กเล่นน้ำในแก้ว และคุณเห็นว่า เด็กทำน้ำหกเลอะพื้น แทนการถามว่า “นั่นลูกทำอะไรน่ะ” (เพราะเด็กอาจตอบว่า เปล่าทำ ไม่ได้ทำ เพราะรู้สึกว่า ตัวเองกำลังจะโดนดุ หรือโดนทำโทษ) ก็บอกลูกไปเลยว่า “แม่เห็นลูกทำน้ำหก ไปหาผ้ามาเช็ดพื้นเลย” ดีกว่า

หากลูกมีลักษณะนิสัยชอบโม้ เล่าเรื่องเกินจริง บางเรื่องก็เติมแต่งจนกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งไป ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อว่า ให้ตนเองได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง คุณพ่อคุณแม่ควรหันมาให้ความสำคัญกับลูก และหมั่นชมลูกบ่อย ๆ เพื่อให้จิตใจของลูกได้รับการเติมเต็มในด้านความเชื่อมั่น นิสัยขี้โม้จะลดลงไปเอง

หากลูกทำผิด และพูดความจริง ขอให้ชมลูกแทนการตำหนิ เช่น ชมลูกว่า “แม่ภูมิใจมากที่ลูกเล่าความจริง ลูกมีความกล้าหาญมากจ้ะ” นั่นทำให้เด็กเข้าใจได้ว่า การกระทำเช่นนี้น่ายกย่องมากกว่าการปกปิดความผิดมากนัก

ยึดมั่น “กฎ” ของบ้าน หากการโกหกเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในครอบครัว และตั้งกฎกันเอาไว้ว่าห้ามโกหกก็ต้องรักษากฎนั้นให้มั่น (รวมทั้งพ่อแม่ และผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ในบ้านด้วย) เพื่อให้เด็กไม่สับสน ทำไมผู้ใหญ่โกหก แต่มาห้ามเด็ก

สำหรับเด็กที่โตขึ้นอีกนิด และเริ่มพูดโกหกบ่อย ๆ หากคุณพ่อคุณแม่ทราบว่าสิ่งที่ลูกพูดออกมาไม่เป็นความจริง ขอให้อธิบายกับลูกให้ชัดเจนว่า ความจริงนั้นสำคัญกับพ่อแม่มากกว่า พร้อมทั้งถามถึงความจริงที่เกิดขึ้น เช่น อาจจะฟังเรื่องที่ลูกเล่าจนจบแล้วค่อยถามไปว่า “เอาล่ะ ทีนี้เล่ามาดีกว่า ว่าความจริงเป็นอย่างไร” (พยายามทำให้บรรยากาศดูขำ ๆ จะดีกว่า ที่สำคัญ มุกนี้อย่าใช้บ่อยเกินไปค่ะ)

พยายามหลีกเลี่ยงการกล่าวโทษ เช่น ว่าลูกเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เป็นจอมโกหก เพราะเท่ากับเป็นการสร้างภาพในด้านลบให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตนเองของเด็ก อีกทั้งยังทำให้พวกเขากลายเป็นจอมโกหก (จริง ๆ) มากขึ้น ถ้าเด็กเชื่อในคำที่พ่อแม่บอกว่าเขาเป็น ถึงตอนนั้น พ่อแม่เองนั่นแหล่ะที่จะต้องน้ำตาตก

ใกล้ชิดกับลูกให้มาก โดยธรรมชาติแล้ว เด็ก ๆ มักชอบเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนเองประสบพบเจอให้พ่อแม่ฟัง และโดยมากจะเล่าตามความเป็นจริง แต่ถ้าเด็กที่ไม่ใกล้ชิด ไม่เข้าหาพ่อแม่ ไม่ยอมเล่าเรื่องราวต่าง ๆ หรือพอเล่าก็เป็นเรื่องโกหกนั้น อาจเป็นไปได้ว่า ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกกำลังมีปัญหาก็เป็นได้

แม่ก็รักน้องเปรมที่สุดในโลก

แต่อย่างไรก็ดี การจะทำให้เด็กที่เคยโกหกเล่าความจริงได้นั้นในบางครั้งก็ต้องอาศัยเทคนิค หรือบรรยากาศเล็กน้อย เช่น ควรทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและเชื่อมั่นว่า หากเขาเล่าความจริงออกมา เขาก็ไม่ถูกทำโทษ หรือชมเชยหากเด็กเป็นคนที่ยืดอกยอมรับความผิด และไม่โกหก

เมื่อผู้ใหญ่ก็โกหก หรือบอกให้เด็กโกหก

การโกหกของผู้ใหญ่ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ผู้ใหญ่อาจหลอกเด็ก ๆ ว่าตุ๊กแกจะมากินตับเด็กร้องไห้ ตำรวจจะมาจับพ่อแม่ไปหากลูกเกเร นอกจากนั้น ผู้ใหญ่บางคนยังใช้การโกหกเพื่อรักษามารยาท เช่น สอนให้ลูกแสดงออกว่าชอบของขวัญที่ได้รับ (แม้ใจจริงแล้วเด็ก ๆ ไม่ชอบของขวัญชิ้นนั้นเลยก็ตาม) เพื่อให้ผู้มอบของขวัญรู้สึกดีใจ ฯลฯ

การกระทำดังกล่าวไม่ใช่เรื่องน่ายอมรับนัก และหากไม่จำเป็นก็อย่าหยิบออกมาสอนเด็ก ๆ เลยจะดีกว่า เพราะหากใช้บ่อยจนเด็ก ๆ คุ้นเคย วันหนึ่งเขาอาจตั้งใจโกหกด้วยตัวของเขาเองก็เป็นได้

สำหรับท่านที่มีลูกเป็นเด็กดีมาตลอด แล้ววันหนึ่งพบว่าลูกโกหก คุณพ่อคุณแม่คงต้องมองโลกในแง่ดีเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยหันมาใส่ใจพฤติกรรมการโกหกของคนในครอบครัวว่ามีใครทำให้เด็กดูเป็นตัวอย่างหรือเปล่า อีกทั้งการบอกลูกว่า “การที่ลูกไม่บอกแม่ตามความจริง ทำให้แม่เสียใจและผิดหวังมาก” ก็ช่วยได้เช่นกัน

สุดท้ายนี้ หากต้องการแก้ไขพฤติกรรมลูกแบบถนอมน้ำใจ ลองหานิทานที่เกี่ยวกับความซื่อสัตย์มาเล่าให้ลูกฟังก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีค่ะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้องในบล็อกพี่เปรม

เด็กกับอารมณ์

เด็กติดเกมส์ ดีหรือไม่

มีหลายคนที่ถามเข้ามาว่า ทำไมเลี้ยงลูกให้เล่นแต่เกมส์ แถมเกมส์ที่ให้เล่น ก็ไม่ได้เหมาะสมกับวัยเลยด้วยซ้ำ แบบนี้มันจะส่งผลเสียต่อเด็กได้หรือไม่ ถามมาแบบนี้ผมในฐานะพ่อ ก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเด็ก คำตอบที่ถามว่า ดีหรือไม่ เหมาะสมหรือเปล่า จึงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ

เด็กกับอารมณ์

เด็กน้อยเจ้าอารมณ์

ฝึกนิสัย ลูกน้อยเจ้าอารมณ์ เมื่อช่วงแรกเกิดนั้น ลูกยังไม่แสดงอารมณ์ที่ซับซ้อนมากนัก สามารถดูได้ง่ายว่าสบายใจ ลูกก็จะมีหน้าแจ่มใส มองยิ้มส่งเสียงในคอเล่นอ้อแอ้ จะร้องกวนบ้างก็ในช่วงที่รู้สึกหิวหรือไม่สบายตัว หรือง่วงนอน แต่เมื่อได้กินอิ่ม หรือนอนกอด กล่อมให้หลับ ก็จะนอนหลับสบาย ๆ

สถานศึกษา

น้องเปรมนั่งรถโรงเรียนได้แล้ว

ผ่านไปได้ 1 อาทิตย์แล้วหลังจากใช้บริการรถรับส่งนักเรียน ของโรงเรียนอนุบาลบ้านวังทอง ใช้บริการคุณเจต จริงๆ แล้วเปิดเทอมมาได้ 3 อาทิตย์แล้วแต่น้องเปรมดันป่วยหยุดไป 1 อาทิตย์เต็มๆ ส่วนอาทิตย์แรก คุณพ่อเค้าก็คอยรับส่งเอง มาอาทิตย์หลัง

สถานศึกษา

โรงเรียน อนุบาล บ้านวังทอง

ก่อนลูกจะเข้าเรียน ก็ไม่คิดหรอกว่าจะให้เรียนที่ไกลบ้าน แต่ก่อนนั้นก็พยายามสรรหาโรงเรียนต่างๆ สารพัดสารเพ ละแวกบ้านล้อมวงออกไปเป็นรัศมีหลายสิบกิโลเมตร ก็หาไม่ค่อยจะได้ เพราะต้องการแบบที่ตรงกับใจ เลยท้อใจล่ะ เริ่มคิดว่า น่าจะสอนเองอยู่กับบ้านได้นี่นา แต่ที่บ้านก็คัดค้าน

เด็กกับอารมณ์

เรื่องไม่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่ทำร้ายเด็ก

เรื่องนี้จริงๆ ไม่อยากเขียน เอาเป็นว่า ผู้ปกครองอยากระบายก็ละกัน และอีกอย่าง เรื่องของน้องเปรมเองก็ไม่ค่อยได้เขียนมานานแล้ว วันนี้เป็นโอกาสดีที่คุณพ่อจะมาบ่นๆ เกี่ยวกับเรื่องลูกและเรื่องคนใกล้ชิดกันซักนิด

สถานศึกษา

โรงเรียน อนุบาลบ้านวังทอง ปิดเรียน 2 วัน

เมื่อวานคุณแม่รับลูกจากบ้านน้าแล้ว ก็น้องเปรมใช้บริการรถรับส่งนักเรียน แต่ไม่ได้บอกอะไรกับคุณพ่อมาก เพราะตอนนั้น นั่งทำงานอยู่ที่ office ยังไม่ได้กลับบ้าน ซักพักคุณแม่ก็โทรบอกจะไป Lotus ใกล้บ้านเพื่อที่จะเอาเช็คที่ได้ไปขึ้นเงิน ให้รีบกลับเพราะธนาคารจะปิดประมาณ