เช้าวันที่ 12 มกราคม 58 วันนี้ผมเสียใจที่สุดอีกหนึ่งวัน วันนี้น้องเปรมต้องไปโรงเรียน แต่เมื่อคืนมีงานศพญาติผู้ใหญ่ทำให้เด็กๆ ต้องนอนกันดึกเพราะพ่อแม่พาไปร่วมงานศพด้วย พอกลับถึงบ้านจัดการอะไรเรียบร้อย เด็กๆ ก็ไม่ยอมนอนเหมือนว่ายังไม่หายสนุกที่ได้เจอเพื่อนๆ และญาติๆ คนอื่นๆ จึงต้องเข้มงวดกันนิดหน่อย
เช้ามาในวันดังกล่าวอากาศหนาวมาก ฟ้าปิดทำให้เวลา 6 โมงเช้าที่เด็กๆ จะต้องตื่นอาบน้ำกินข้าวเตรียมตัวไปโรงเรียนนั้น ต้องเลทไปอีก 1 ชั่วโมงเพราะพ่อแม่รู้สึกเหนื่อยและเด็กๆ ดูเหมือนกำลังหลับสบาย โทรหารถโรงเรียนว่าไม่ต้องรอเดี๋ยวไปส่งเอง 7 โมงเราเพิ่งจะตื่นกัน ตามแบบฉบับน้องเปรม กว่าจะกินข้าวเสร็จปาเข้าไป 7 โมงครึ่ง อาบน้ำอีกนาน เสร็จแล้วก็ไม่ยอมแต่งตัวเพราะมัวแต่ไปแหย่น้องและเล่นของเล่น ต้องทุบต้องดุกันไปตามระเบียบเป็นแบบนี้ทุกวันจนดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องปกติ
แต่เวลาก็ใกล 8 โมงเช้าแล้วเกรงว่าจะเข้าเรียนไม่ทัน ก็เลยต้องดุและเร่งให้ลูกเร็วๆ คุณพ่อก็ต้องเข้างานตอน 8.15 น. แต่ต้องไปส่งก่อนถ้าสายก็โดนหักเงินอีก ระคนกับความผิดของพวกเราที่ตื่นกันสาย มันเลยทำอะไรกันเร่งรีบ น้องเปรมก็จะโดนดุหนักขึ้นเพราะพฤติกรรมชอบเล่นไม่สนใจหน้าที่
ก่อนออกจากบ้านผมลงจากบ้านและให้น้องเปรมไปเอากระเป๋านักเรียน น้องอาการประมาณว่าหงุดหงิดที่ผมยึดของเล่นที่เจ้าตัวแอบเอาใส่กระเป๋ากางเกงออก เพราะหากปล่อยให้น้องเอาไปก็หายอีก แม้เค้าจะยืนยันว่าจะดูแลอย่างดี (เหมือนทุกครั้ง) แต่ทุกครั้งก็จะมีคนแย่งและเอาไปทุกที กลับมาด้วยความผิดหวังทุกครั้งว่าของเล่นหาย ครั้งนี้เลยงด อารมณ์ไม่พอใจคุณพ่อ พอบอกให้ไปขึ้นรถเลยทำเสียงแบบหงุดหงิดและกระทืบเท้ากำลังจะเดินลงบรรได ก็โวยวายว่าไหนกระเป๋า ก็เลยชี้ให้ไปหยิบเอง ก็เดินกระทืบเท้าหนักๆ ไปหยิบกระเป๋า
ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าน้องหยิบถือมาหรือสะพายใส่หลังแล้ว พอผมก้าวลงบรรไดขั้นสุดท้ายเสร็จได้ยินเสียงตึงๆ ตังๆ ในใจก็คิดว่าเอาอีกแล้วลูกมันกระทืบเท้ามาอีกแล้วรึ ยังไม่เลิกโมโหอีก ซักพักได้ยินเสียงโหวกเหวกและโวยวาย ผมหันไปดูเจ้าแสบกลิ้งไปมาประมาณตกบรรได แต่ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงตก หัวฟาด เข่าถลอก หน้าผากเห็นเลือดซิบๆ (บรรไดมี 5 ขั้น)
ผมมองเห็นลูกกลิ้ง ก็เลยถามทำไมถึงตกลงมา เล่นใช่ไหม แม่เค้าเปิดประตูห้องน้ำมาบอกว่า ลูกวิ่งลงบรรไดใช่ไหม ส่วนยายก็บอกว่า ลูกคงจะเดินพลาดเลยตกบรรได เจ้าตัวแสบร้องบอกว่าผมไม่ได้ตั้งใจ ผมตกบรรได
อารมณ์นั้นผมขึ้นเลย ประกอบกับเหตุการณ์ก่อนนั้นที่น้องมีพฤติกรรมประมาณไม่พอใจเดินกระทืบเท้าและเดาว่าแกก็กระทืบเท้าลงบรรไดด้วยแล้วเกิดพลาดเหยียบผิดเลยกลิ้งลงมากองข้างล้าง หาไม้หาอะไรไม่เจอ เจอหวี เลยเอาหวีฟาดไม่ยั้งไปหลายทีบอกว่าทำไมทำแบบนี้ ซนใช่ไหมถึงตกลงมา ฟาดเอาๆ จนยายกับแม่บอกว่าให้พอแล้ว เจ้าแสบก็ร้องไห้เอามือกัน โดนไปหลายที ต่างคนก็คิดกันว่าทำไมเจ้าแสบถึงตกบรรใด
แม่เค้าก็เดาเอาว่าเพราะพฤติกรรมลูกเอง วิ่งลงบรรไดไม่ระวัง และกระโดด ส่วนยายกับตาบอกน่าจะเหยียบพลาด ส่วนผมคิดว่าความที่ลูกหงุดหงิดอยู่ก่อนทำให้กระทืบเท้าลงบรรไดและเหยียบพลาดทำให้ตกลงมา
แต่ถามเจ้าตัวก็บอกว่าไม่ได้เล่น เค้าหล่นลงมาเอง ผมเองก็ไม่อยากเชื่อลูกเพราะเวลาเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ แบบนี้แล้วถ้าเค้าผิดก็จะแก้ตัวแบบนี้ทุกครั้ง หรือบางครั้งถ้าไม่ผิดเค้าจะทำเหมือนกัน ด้วยความโมโหและเวลาก็สายแล้ว (8.20 น.) มันเลยไม่ได้คิดถึงเหตุผลว่าลูกผิดหรือถูกกันแน่ เลยลงโทษไปขนาดนั้น
ตอนไปส่งลูก เค้านั่งข้างหลังคนขับ ตาก็ชะเง้อมองออกไปนอกรถ บรรยากาศเงียบ ไม่มีการพูดจาใดๆ ผมพยายามมองผ่านกระจกมองหลังเห็นลูกปาดน้ำตา รถติดไฟแดงผมเลยถามว่าเจ็บไหม เค้าตาแดงๆ ว่าเจ็บครับ ถามว่าตรงไหนบ้าง เค้าบอกที่หน้าผาก และหัวเข่า ผมลองสังเกตุเห็นหน้าผากมีรอยถลอก เข่าช้ำนิดหน่อย ถามว่าเจ็บมากไหม เค้าบอกหัวเข่าไม่มาก แต่หน้าผากแสบๆ
ก็เลยกอดเค้าแล้วก็ถามว่า สรุปน้องเปรมทำไมถึงตกบรรได เค้าก็บอกว่าผมเดินดีแล้วแต่ตก ผมไม่ได้เล่นมันตกเอง
ผมแทบน้ำตาไหลเพราะสงสารลูก ไฟเขียวพอดี ก็เลยต้องขับต่อ แล้วก็บอกเค้าไปว่า ทุกครั้งที่เราจะทำอะไรเราต้องมีสติ วันนี้พ่ออาจผิดที่ทำโทษลูก แต่ลูกก็มีส่วนผิดด้วย เพราะพฤติกรรมหงุดหงิดไม่พอใจทำให้ขาดการระวังตัว ตรงบรรไดไม่สมควรจะวิ่งหรือกระโดด ถ้าบ้านเรามีบรรไดหลายขั้นเหมือนบ้านอื่นจะตกลงมาบาดเจ็บมากกว่านี้ หรือถึงขั้นคอหักหัวแตกได้ เค้าก็ถามว่าทำไมบ้านเรามีพื้นปูนแล้วหัวเค้าไม่แตก ผมเลยตอบไปว่าเพราะบ้านเรามีบรรไดแค่ 5 ขั้น ไม่สูงเหมือนบ้านคนอื่นน้องเปรมเลยไม่เป็นอะไรมาก
ตอนจูงเค้าเดินเข้าโรงเรียนเค้าก็อ้อนว่าให้ไปส่งที่หน้าตึกนะ ผมก็ยอม แล้วก็กอดเค้าอีกทีโดยไม่พูดอะไรอีก เค้าก็เดินขึ้นตึกเรียนไปตามปกติ
ผมกลับมาที่ทำงาน จิตก็นั่งคิดแต่เรื่องนี้ ผมเสียใจมากที่ทำโทษลูกไปขนาดนั้น แม้ว่าการตีมันจะทำให้ลูกเจ็บ แต่ผมควรจะฟังเค้าก่อน ด้วยอารมณ์ในตอนนั้นปนกับพฤติกรรมที่ไม่น่าเชื่อถือของเค้าทำให้ผมอาจเข้าใจผิดว่าลูกมีส่วนที่ทำให้ตัวเองต้องตกบรรได
หากแม้ว่าผมจะเป็นฝ่ายถูก และการลงโทษนั้นสมควรแล้ว ผมก็รู้สึกแย่เหมือนกัน
หากว่าผมผิดและลูกถูก เพราะมันเกิดเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
พ่อขอโทษนะลูก แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะอะไร จุดประสงค์เดียวคืออยากให้ลูกเป็นเด็กดี เท่านั้นเอง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้องในบล็อกพี่เปรม
พัฒนาการเด็ก
เด็กวัยอนุบาล ต้องการอาหารเสริม
เชื่อแล้วว่ามีผลจริงๆ กับคุณค่าสารอาหารที่ครบหมู่ และต้องมีการเพิ่มเติมสิ่งสำคัญจำเพาะออกไปตามแต่ความต้องการ เพราะเด็กในวัยอนุบาลนั้น กำลังมีพัฒนาการด้านสมองและร่างกายอย่างสูงสุด เด็กวัยขวบปีแรกจนถึง 5 ขวบต้องการสารอาหารที่ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อร่างกายและสมอง
สถานศึกษา
ตรวจการบ้านลูกทุกครั้ง
เคยไหมครับ ถ้าคุณเป็นผู้ปกครองแล้วไม่มีเวลาแม้แต่จะสอนลูกทำการบ้าน ผมคิดว่าตอนแรกผมจะมีเวลาเต็มที่ แต่ไปๆ มาๆ มันก็พลาดเพราะบางทีเราก็เหนื่อยจากการทำงานและยิ่งอายุมากขึ้นก็ต้องประสบกับปัญหาเหนื่อยง่าย อะไรที่อยากจะทำก็ไม่ค่อยได้เต็มที่ เรื่องลูกก็เหมือนกัน
พัฒนาการเด็ก
เมื่อเจ้าตัวเล็กกลายเป็น เด็กดื้อ
โอ้ย ทำไมไม่เชื่อฟังล่ะลูก โอย เซ็งกะเค้าจริงๆ เล้ยเจ้าคนนี้ ตายแล้วๆ ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ มานี่เลย โอ้ยๆ เล่นไม่ได้ อย่าสิ เดี๋ยวโดนตีเลยนะ เฮ่อ เด็กดื้อ คนนี้ทำยังไงกับเค้าดีเนี่ย
สถานศึกษา
ปวดหัวกับหลักสูตรการเรียนปัจจุบัน
ผมล่ะเบื่อที่สุดกับการขอร้องแกมบังคับให้เจ้าลูกชายหันมาอ่านหนังสือ ปกติน้องเปรมจะเป็นคนที่ชอบหนังสือมาก ตั้งแต่ตอนยังเล็กก็ชอบเอาหนังสือรูปกาตูนมาให้ทายเล่น เอามาชี้ๆ ถามพ่อแม่เสียงเจื้อยแจ้ว แต่ตั้งแต่รู้จักกับหนังสือ ดรุณศึกษา น้องก็ไม่ค่อยจะชอบ
สถานศึกษา
KG 3 เทอมสองแล้ว
หลังจากเข้าเรียนที่โรงเรียนใหม่แล้ว และเรียนได้ครบเทอม คุณแม่ก็ทำการจ่ายค่าเทอมลูกอีก 1 ภาคเรียน เนื่องจากยังไม่เห็นผลแน่ชัดว่า ลูกจะชำนาญภาษาอังกฤษแค่ไหน เพราะไม่ได้อยู่เฝ้าดูการเรียนเหมือนในโรงเรียนอนุบาลทั่วไป ที่นี่ดูเหมือนว่าจะเข้มงวดสำหรับผู้ปกครองเป็นพิเศษ
แม่ลูกผูกพัน
น้องเปรม 3 ขวบแล้ว ยังกินนมแม่อยู่เล้ย
ได้เข้าไปเยี่ยม blog ของคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นสมาชิก และเหล่าบรรดาคุณแม่ๆ ทั้งหลายที่สอบถามเกี่ยวกับลูกๆ เข้ามาทาง email ในหลายๆ เรื่อง สดุดกับคำว่า นมแม่ 100% ที่จั่วอยู่บน title ในหลายๆ