สร้างศักยภาพสมองให้ลูก

ทารกรับรู้กลิ่นและรสได้อย่างไรนะ เป็นข้อสงสัยที่นำไปสู่การศึกษาวิจัยเพื่อหาคำตอบชองบรรดานักวิทยาศาสตร์ค่ะ โดยเขาเห็นว่าการรับรู้เรื่องกลิ่นและรสของทารกนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าประสาทสัมผัสด้านรับรู้กลิ่นของทารกนั้นจะพัฒนาอย่างรวดเร็วหลังคลอดค่ะ โดยเฉพาะในสัปดาห์แรกของชีวิต ทารกสามารถจดจำกลิ่นของแม่ตนเองได้อย่างแม่นยำทีเดียว ซึ่งการศึกษาชิ้นหนึ่งบอกว่าทารกอายุ 5 วัน สามารถแยกแยะที่ซับน้ำนมแม่กับนมชนิดอื่นได้ด้วย ผลดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปกันว่าสำหรับทารกน้อยนั้น ประสาทสัมผัสด้านการรับรู้เรื่องกลิ่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างความสัมพันธ์ของทารกค่ะ

ส่วนการศึกษาด้านการรับรู้รสชาติของทารกน้อยนั้นเขาไปสังเกตปฏิกิริยาของทารกหลายคนๆ โดยการให้ดมกลิ่นที่แตกต่างกัน พบว่าทารกจำนวนมากเลยที่แสดงอาการชอบกลิ่นมะนาว นักวิทยาศาสตร์บอกว่าตั้งแต่เกิดทารกก็สามารถรับรู้รสชาติ 3 ใน 4 รสหลักแล้วนั่นคือ รสหวาน รสเปรี้ยว และรสขม แต่ดูเหมือนทารกจะชอบรสหวานมากที่สุด ส่วนรสเค็มนั้น ทารกยังแยกไม่ออกหรอกค่ะ เพราะเขาลองให้ทารกดูดน้ำเกลือ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทารกกินน้ำเกลือเหมือนกับกินน้ำเปล่าเลยล่ะนักวิทยาศาสตร์บอกว่าราวอายุ 4 เดือนค่ะ ประสาทสัมผัสการรับรู้รสเค็มที่ลิ้นของทารกถึงจะทำงาน ตอนนั้นทารกจึงจะสามารถแยกแยะรสเค็มได้

สำหรับพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสรับรู้เรื่องกลิ่นและรสชาติของทารกนั้น จะพัฒนาไปตามการเลี้ยงดูและประสบการณ์ทารกได้รับค่ะถ้าเขามีโอกาสได้กินอาหารที่รสชาติหลากหลาย ลูกน้อยก็จะเติบโตเป็นคนที่ไม่ติดในรสชาติใดรสชาติหนึ่งเพียงรสเดียว และจะทำให้เป็นคนกินง่าย

อย่างไรก็ตามอาหารที่คุณแม่กินเข้าไปนั้น สามารถทำให้รสชาติน้ำนมแม่เปลี่ยนไปได้ ดังนั้นจงควรสังเกตปฏิกิริยาการดูดของลูกน้อยด้วยค่ะ หากลูกไม่อยากดูดนมแม่ สาเหตุหนึ่งอาจอยู่ที่อาหารที่คุณแม่กินในช่วงนั้นก็เป็นได้

สอนลูกด้วยบัตรภาพ บัตรคำ รู้จักและเคยเห็นกันใช่ไหมคะ เจ้าบัตรคำบัตรภาพ ที่ว่านี่ เขาว่ากำลังเป็นเรื่องฮิตในหมู่คุณแม่ลูกเล็กชาวอเมริกันเลย โดยเขานำมาสอนลูกตั้งแต่ก่อนที่ลูกจะพูดได้เสียอีก ผลที่ได้น่ะหรือคะ ความสามารถในด้านการจำภาพของทารกจะพัฒนามาก พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อจะดี เพราะทารกใช้นิ้วและมือน้อยๆ นั้นพยายามหยิบบัตรคำ บัตรภาพขึ้นมาเพื่อสื่อสารแต่พัฒนาการด้านการพูดกลับน้อย แล้วก็ดูเหมือนว่าคุณแม่เหล่านี้จะไม่ค่อยสนใจค่ะ ด้วยเห็นว่าการชวนลูกดูบัตรคำ บัตรภาพจะช่วยให้ลูกหลานหยุดงอแง คุณแม่ท่านหนึ่งซึ่งเริ่มสอนลูกบัตรคำบัตรภาพตั้งแต่ลูกแฝดอายุแค่ 2-3 เดือน บอกว่าลูกชายของเธอสนใจและสามารถเลือกสื่อสารโดยการหยิบบัตรคำบัตรภาพเหล่านั้น ที่สำคัญคือตัวพ่อแม่ต้องสามารถตอบสนองกับสิ่งที่ลูกสื่อสารผ่านบัตรเหล่านั้นให้ได้ ตอนนี้ลูกของเธออายุ 2 ขวบครึ่งแล้ว และใช้ทั้งบัตรคำบัตรภาพและการพูดเพื่อสื่อสารกับคนรอบตัว นักวิชาการที่สนใจเรื่องการสื่อสารผ่านบัตรคำบัตรภาพบอกว่า “พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเล่นตั้งคำถามกับลูกตั้งแต่วัยขวบสองขวบอยู่แล้ว ดังนั้นการใช้บัตรคำภาพนี้จึงเป็นเรื่องเสริมที่ช่วยให้พ่อแม่รู้ว่าลูกน้อยต้องการกล้วยไม่ใช่ขนมปังขณะที่ยังพูดได้แค่อูอาอา”

อย่างไรก็ตามมีการวัด IQ เด็กที่เรียนรู้เรื่องบัตรคำบัตรภาพไปพร้อมกับการพูด พบว่ามีคะแนน IQ สูงกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน แต่กระนั้นนักภาษาศาสตร์ต่างก็เป็นห่วงค่ะ เพราะการเน้นไปที่การสอนเรื่องบัตรคำบัตรภาพของพ่อแม่นั้น อาจทำให้พ่อแม่ไม่ทันสังเกตพัฒนาการด้านการพูดของลูกน้อยว่าดี เหมาะสมกับวัยหรือไม่และอาจส่งผลให้เด็กมีปัญหาในการพูดตามมาในภายหลังได้ หยิบยกเรื่องนี้มาเล่าต่อ เพราะเป็นห่วงเหมือนกันค่ะ เนื่องจากเจ้าบัตรคำภาพนี้ ก็ฮิตฮอตในบ้านเราก็ไม่ใช่เล่น เอาเป็นว่าถ้าบ้านไหนจะใช้ก็ให้ใช้อย่างเหมาะสมนะคะ และสอดคล้องกับพัฒนาการในทุกด้านของลูกด้วยค่ะ

จริงหรือ ที่ทารกเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการเรียนรู้ทุกๆ ภาษาในโลก? จริง เพราะสมองของทารกนั้นมีเซลล์ประสาทที่พร้อมเรียนรู้ภาษา เพราะเป็นความมหัศจรรย์ที่ทารกเกิดมาพร้อมความสามารถที่ไม่ใช่แค่เรียนรู้เพียงภาษาใดภาษาหนึ่งเท่านั้น แต่สามารถเรียนรู้ทุกภาษาในโลก ในงานศึกษาวิจัยของแพทริเซีย คูฮ์ล แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้ระบุไว้ว่า “ทารกนั้นเป็นประชากรของโลก เพราะสามารถเข้าใจเสียงและรูปแบบประโยค ของภาษาที่แตกต่างกันทั่วโลก" โดยเธอยกตัวอย่างว่า ตั้งแต่เกิดทารกญี่ปุ่นก็สามารถแยกแยะเสียงระหว่าง R และ L ได้แม้จะมีแต่เสียง R ที่ใช้กันอยู่ในญี่ปุ่นก็ตาม ซึ่งทารกจะสามารถแยกแยะเสียงดังกล่าวได้ไปจนถึงอายุ 6 เดือนค่ะ พออายุ 12 เดือน ก็จะไม่พบความสามารถดังกล่าวแล้ว เพราะแม้ตอนที่ทารกอายุยังอยู่ในครรภ์แม่นั้น ทารกก็พยายามหันหาเสียงแม่ยามแม่ร้องเพลงกล่อม นั่นแสดงว่าเซลล์สมองของทารกและลอกเลียนภาษาแล้ว เพราะทารกเรียนรู้ที่จะพูดด้วยการฟังภาษาและสื่อภาษาตรงจากการพูดคุย เพราะระหว่างอายุ 6-12 เดือน ทารกเริ่มค้นพบความสามารถในการเข้าใจเสียงพูดของภาษาพ่อแม่แล้วล่ะค่ะ

ยิ่งเรียนสูง สมองยิ่งกระฉับกระเฉง ไม่ได้พูดเล่นๆ นะคะ มีงานวิจัยมายืนยันนั่งยันด้วย เรื่องนี้ ดร. เชอริล แอลเกรดี จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ออนทาริโอ บอกว่าถ้าเราสังเกตคนที่มีการศึกษาสูงๆ เราจะเห็นลักษณะบางอย่างควบคู่ด้วยเสมอ เช่น การมีสุขภาพที่ดี มีงานอดิเรกทำมีเวลาว่างสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งสภาพดังกล่าวนี่ล่ะที่มีผลต่อการเรียนรู้และการทำงานอย่างกระฉับกระเฉงของสมอง

ดร. เกรดีและทีมงานได้ใช้เครื่อง MRI เพื่อสแกนดูการทำงานของสมองของกลุ่มหนุ่มสาว 14 คนอายุระหว่าง 18-30 ปี และกลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไปจำนวน 19 คน เพื่อดูว่าอายุมีความสมพันธ์อย่างไรกับการศึกษาและการทำงานของสมอง ในกลุ่มคนสูงอายุ ซึ่งมีการศึกษาสูงนั้นจะพบการทำงานที่กระฉับกระเฉงของสมองส่วนฟรอนทัลโลบ ขณะที่กลุ่มคนสูงอายุแต่มีการศึกษาน้อย จะพบการทำงานของสมองส่วนอื่น ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวจะให้ผลตรงกันข้ามในกลุ่มคนหนุ่มสาว ดร.เกรดีสรุปถึงผลการศึกษาที่ค้นพบนี้ว่า การทำงานของสมองส่วนต่างๆ ของคนเรานั้นสัมพันธ์กันระดับของการศึกษาและความสามารถในการจำตามระดับของอายุด้วย ทั้งยังเห็นว่าการทำงานของสมองของคนเราอย่างกระฉับกระเฉงนั้นสะท้อนในกลุ่มคนสูงอายุที่มีระดับการศึกษาสูงค่ะ

เอ้า… เพื่อให้สมองของเราดี ต้องขยันเรียนเข้าไว้ค่ะ ที่สำคัญอย่างที่เขาพูดกัน… ไม่มีใครแก่เกินเรียนหรอก… นะคะ

ที่มา..นิตยสารรักลูก ปีที่ 24 ฉบับที่ 282 กรกฎาคม 2549 เขียนโดย มนต์ชยา sudrak.com

เนื้อหาที่เกี่ยวข้องในบล็อกพี่เปรม

อาหารสำหรับคุณแม่

อ่านนิทานให้เด็กวัยอนุบาลฟังก่อนนอน

ขึ้นชื่อว่านิทาน มักมีคติสอนใจให้ผู้ฟังอยู่เสมอ แม้ว่าบางเรื่องอาจต้องใช้ความคิดสลับซับซ้อนไปบ้างก็ตามแต่ก็อยู่ในวัยที่แต่ะละช่วงนั้นๆ ไป จะว่าไปแล้ว เด็กในวัยอนุบาลอย่างน้องเปรม คงไม่อาจจะอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับวรรณกรรมซีไรต์ ที่ผู้แต่งนั้นสอดแทรกแนวคิดตลบอบอวลไปด้วยปรัชญา

พัฒนาการเด็ก

เมื่อเจ้าตัวเล็กกลายเป็น เด็กดื้อ

โอ้ย ทำไมไม่เชื่อฟังล่ะลูก โอย เซ็งกะเค้าจริงๆ เล้ยเจ้าคนนี้ ตายแล้วๆ ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ มานี่เลย โอ้ยๆ เล่นไม่ได้ อย่าสิ เดี๋ยวโดนตีเลยนะ เฮ่อ เด็กดื้อ คนนี้ทำยังไงกับเค้าดีเนี่ย

สถานศึกษา

Goodbye Summer KG 3D Sarasas School

ก็จบกันไปแล้วสำหรับงานจบการเรียนการสอนภาคฤดูร้อนที่ โรงเรียนสารสาสน์วิเทศรังสิต วันนี้คุณป๊าก็ได้ไปให้กำลังใจพร้อมกับถ่ายรูปมาเล็กๆ น้อยๆ เพราะน้องเปรมเอาแต่เขิลกินลมจนแก้มป่องตลอดงาน สงสัยจะเขิลคุณป๊าที่ไปให้กำลังใจหรือเขิลสาวข้างๆ กันแน่ก็ไม่รู้นะ

สถานศึกษา

งานเปิดบ้านวิชาการ วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 54 ที่บ้านวังทองวัฒนา

โรงเรียนบ้านวังทองวัฒนา ได้กำหนดกิจกรรม เปิดบ้านวิชาการ ในวันที่ 25 กันยายน 2554 เวลาประมาณ 6.00-12.00 น. เพื่อให้ผู้ปกครองได้ชมงานการแสดงโครงงานต่างๆ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6

สถานศึกษา

โรงเรียน อนุบาล บ้านวังทอง

ก่อนลูกจะเข้าเรียน ก็ไม่คิดหรอกว่าจะให้เรียนที่ไกลบ้าน แต่ก่อนนั้นก็พยายามสรรหาโรงเรียนต่างๆ สารพัดสารเพ ละแวกบ้านล้อมวงออกไปเป็นรัศมีหลายสิบกิโลเมตร ก็หาไม่ค่อยจะได้ เพราะต้องการแบบที่ตรงกับใจ เลยท้อใจล่ะ เริ่มคิดว่า น่าจะสอนเองอยู่กับบ้านได้นี่นา แต่ที่บ้านก็คัดค้าน

สถานศึกษา

โฮมสคูล เรียนที่บ้าน น่าสนใจดี

ก็ในเมื่อหาโรงเรียนให้กับเจ้าตัวเล็กไม่ได้ หรือมีข้อจำกัดในการเรียน มีปัญหาหลายๆ ด้าน ก็ทำบ้านให้เป็นโรงเรียน สอนเองซะเลยจะได้ไหม เราสามารถสอนลูกเราเองให้เรียนรู้ในทุกๆ เรื่องที่เราอยากจะให้รับรู้เองแทนการที่จะต้องให้เจ้าตัวแสบไปเรียนที่ไกลๆ